วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550

วันขอบคุณพระเจ้า


Thanksgiving Day
Thanksgiving, or Thanksgiving Day, is a traditional North American holiday to give thanks for the things that one has at the conclusion of the harvest season. Thanksgiving is celebrated on the fourth Thursday of November in the United Ststes and on the second Monday of October in Canada
วันขอบคุณพระเจ้า
วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) เป็นวันหยุดหนึ่งวันสำหรับการระลึกถึงและขอบคุณพระเจ้าในช่วงสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว ในสหรัฐอเมริกา วันขอบคุณพระเจ้าจะตรงกับวันพฤหัสบดีที่สี่ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ในขณะที่ในประเทศแคนาดาจะตรงกับวันจันทร์ที่สองของเดือนตุลาคม ประเพณีนี้เกิดขึ้นภายหลังจากการอพยพของชาวยุโรปมาที่ทวีปอเมริกาเหนือ ถึงแม้ว่าประเพณีนี้เป็นประเพณีหนึ่งของบุคคลในทวีปอเมริกาที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่ในทวีปยุโรปนั้นไม่มีประเพณีนี้
ในวันขอบคุณพระเจ้านี้ชาวอเมริกันจะใช้เวลาอยู่ร่วมกับครอบครัวและรับประทานอาหารมื้อใหญ่ด้วยกัน โดยอาหารที่นิยมรับประทานจนเป็นประเพณีคือไก่งวง และนอกจากนี้ในเมืองนิวยอร์กจะมีขบวนพาเหรดที่มีชื่อเสียงจัดโดยห้างสรรพสินค้า เมซีร์ ในชื่อ เมซีส์เดย์พาเหรด (Macy's Day Parade)

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Christmas

History
A winter festival was traditionally the most popular festival of the year in many cultures. Reasons included less agricultural work needing to be done during the winter, as well as people expecting longer days and shorter nights after the winter solstice in the Northern Hemisphere. In part, the Christmas celebration was created by the early Church in order to entice pagan Romans to convert to Christianitr without losing their own winter celebrations.Most of the most important gods in the religions of Ishtar and Mithra had their birthdays on December 25. Various traditions are considered to have been synoretised from winter festivals including the following

ประวัติ
คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษา อังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า" Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส
แห่งจักวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

ซานตาคลอส
นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ซานตาครอสจริงๆแล้ว แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย นักบุญนิโคลาส เป็นนักบุญ ที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะ มาเยี่ยม เด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็อยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดย มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยน เป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็น สังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้นก็กลายเป็น ชายแก่ที่อ้วนใส่ชุดสีแดงอาศัย อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อน เป็นยานพาหนะมีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมา ทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้ เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติ ของเขา
คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2550

สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส

สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ตั้งอยู่เลขที่ 35 ถนนเจิญกรุง36 เขตบางรัก กรงเทพมหานคร ริมแม่นตำเจ้าพระยา ข้างโรงแรมโอเรียนเเต็ลแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
ฝ่ายการทูตและฝ่ายกงสุล
ฝ่ายความร่วมมือและวัฒนธรรม และแผนกวีซ่า ตั้งอยู่เลขที่ 29 ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
ฝ่ายเศรษฐกิจและการพาณิชย์ ตั้งอยู่ที่ชั้น 25 อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 1 ถนนพระราม 4 เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร

ประวัติ
สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ที่สถานที่ปัจจุบันตั้งแต่ พ.ศ 2400 เมื่อนายมองตันยี กงศุลฝรั่งเศส ได้เช่าพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณนี้ ขนาดประมาณ 4 ไร่ ต่อมาในวันที่ 10 มิถุนายน 2418 ร.5 ได้พระราชทานที่ดินผืนนี้ให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส และได้รับเอกสารกรรมสิทธิ์ ในปี 2468 อาคารสถานทูตก่อสร้างโดยช่างชาวอิตาเลียน เป็นอาคารยกพื้นสูงมาก มีระเบียงด้านหน้า สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมอิตาเลียน
การคมนาคมติดต่อกับสถานทูต เดิมใช้ทางแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะในเหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 พ.ศ.2436 กองทัพฝรั่งเศสใช้เรือรบเดินทางเข้ามาเทียบท่าถึงบริเวณสถานทูต ต่อมาเมื่อมีการตัดถนนเจริญกรุง จึงทำทางเข้าทางถนนอีกทางหนึ่ง
อาคารสถานทูตได้รับการซ่อมแซมระหว่างปี 2502-2511 และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม เมื่อ พ.ศ.2527

ความสัมพันธ์ทางการทูตและสนธิสัญญา
ส่วนนี้ของบทความยังไม่สมบูรณ์ คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยเพิ่มเติมเนื้อหาในส่วนนนี้ไทยและฝรั่งเศสมีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีคณะผู้แทนของรัฐบาลฝรั่งเศสเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี ต่อมามีคณะกงสุลประจำ ต่อมาในปี 2430 ได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นคณะผู้แทนทางการทูตซึ่งไม่มีเอกอัครราชทูตเป็นผู้นำ (légation) มีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต มาประจำประเทศไทยตั้งแต่ 2492
เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยคนปัจจุบันคือ นายโลรองต์ โอแบล็ง เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2546

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550


ลพบุรี

ลพบุรีเป็นเมืองแห่งความหลากหลายและต่อเนื่องทางวัฒนธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน ค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) ลพบุรีอยู่ใต้อำนาจมอญและขอมจนกระทั่งในตอนต้นของพุทธศตวรรษที่ 19 คนไทยจึงเริ่มมีอำนาจขึ้นในดินแดนแถบนี้ ในรัชสมัยของพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ลพบุรีมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง กล่าวคือพระเจ้าอู่ทองได้โปรดให้พระราเมศวร ราชโอรสองค์ใหญ่เสด็จมาครองเมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ. 1893 พระราเมศวรโปรดให้สร้างป้อม ขุดคู และสร้างกำแพงเมืองอย่างมั่นคง เมื่อพระเจ้าอู่ทองสวรรคตใน พ.ศ. 1912 พระราเมศวรต้องถวายราชบัลลังก์ให้แก่พระปิตุลาของพระองค์ ซึ่งได้ขึ้นครองราชย์พระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 1 ส่วนพระราเมศวรครองเมืองลพบุรีสืบต่อไป จนถึง พ.ศ. 1931 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 สวรรคต พระราเมศวรจึงเสด็จขึ้นครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สอง
หลังจากนั้นมาเมืองลพบุรีได้ลดความสำคัญลงไป จนกระทั่งมาถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) ลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงครั้งใหญ่ สืบเนื่องมาจากการคุกคามของชนชาติฮอลันดาที่ติดต่อค้าขายกับไทย ทำให้สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยานั้นไม่สู้ปลอดภัยจากการปิดล้อมระดมยิงของข้าศึกหากเกิดสงคราม จึงได้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีที่สองขึ้น เพราะลพบุรีมีลักษณะทางยุทธศาสตร์เหมาะสม ในการสร้างลพบุรีขึ้นใหม่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงได้รับความช่วยเหลือจากช่างชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน และได้สร้างพระราชวังและป้อมปราการเป็นแนวป้องกันอย่างแข็งแรง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ประทับอยู่ที่ลพบุรีเป็นส่วนใหญ่ และโปรดให้ทูตและชาวต่างประเทศเข้าเฝ้าพระองค์ที่เมืองนี้หลายครั้ง
สิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ แล้ว ลพบุรีก็หมดความสำคัญลง สมเด็จพระเพทราชาได้ทรงย้ายหน่วยราชการทั้งหมดกลับกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลต่อๆ มา ก็ไม่ได้เสด็จมาประทับที่เมืองนี้อีก จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ใน พ.ศ. 2406 โปรดฯ ให้บูรณะเมืองลพบุรี ซ่อมกำแพง ป้อม และประตูพระราชวังที่ชำรุดทรุดโทรม และสร้างพระที่นั่งพิมานมงกุฎขึ้นในพระราชวัง เป็นที่ประทับ และพระราชทานนามว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” ลพบุรีจึงแปรสภาพเป็นเมืองสำคัญอีกวาระหนึ่ง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงอีกครั้งหนึ่งในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งได้สร้างเมืองลพบุรีใหม่อันเป็นเมืองทหารอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของทางรถไฟ มีอาณาเขตกว้างขวาง ส่วนเมืองเก่านั้นอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของทางรถไฟ เมืองลพบุรีจึงเป็นศูนย์กลางสำคัญทางยุทธศาสตร์เมืองหนึ่งในปัจจุบันนี้ ลพบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 153 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมด 6,586.67 ตารางกิโลเมตร

พระราชวังสนมจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์ ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัด นครปฐมห่างจากองค์พระปฐมเจดีย์ไม่ไกลนัก มีเนื้อที่ประมาณ 888 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา เป็นพระราชวังที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นบนบริเวณที่คาดว่าเป็นพระราชวังเก่าของกษัตริย์สมัยโบราณที่เรียกว่า เนินปราสาท เพื่อเป็นสถานที่ประทับครั้งมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์และเมื่อบ้านเมืองถึงยามวิกฤต
พระราชวังใช้เวลาก่อสร้างนาน 4 ปี โดยมี หลวงพิทักษ์ มานพ(น้อย ศิลปี)
ซึ่งต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯเลื่อนยศเป็นพระยาวิศุกรรม ศิลปประสิทธิ์ เป็นแม่งาน และสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2450เมื่อสร้างแล้วเสร็จจึงได้พระราชทานนามว่า "พระราชวังสนามจันทร์" ตามชื่อสระน้ำโบราณหน้า
โบสถ์พราหมณ์ (ปัจจุบันไม่มีโบสถ์พราหมณ์เหลืออยู่แล้ว) สระน้ำจันทร์ หรือ สระบัว
ในปัจจุบัน พระราชวังสนามจันทร์อยู่ในความดูแลของสำนักพระนราชวัง
โดยเมื่อวันที่
1 ธันวาคม พ.ศ. 2546 คณะกรรมการอำนวยการบูรณะพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งมีสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นองค์ประธาน ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยนายนาวิน ขันธหิรัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมและมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ลิขิต กาญจนาภรณ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัย ศิลปากร วิทยาเขต พระราชวังสนามจันทร์ได้น้อมเกล้าฯ ถวายคืนพระราชวังสนามจันทร์แก่สำนักพระราชวัง

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550

สุภาษิตและคำพังเพยของฝรั่งเศส

Les proverbes et les dictons สุภาษิตและคำพังเพย

1. Mieux vaut tard que jamai . สายดีกว่าไม่เสียเลย
2. Qui se ressemble, s'assemble.
ผู้ที่มีอะไรเหมือนๆกัน มักจะเข้ากลุ่มเดียวกัน (กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์)
3. On a souvent besoin d'un plus petit que soi.
อย่าดูถูกของเล็กๆ น้อยๆ วันหนึ่งอาจจะเป็นประโยชน์กับเรา (น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า - ข้าพึ่งเจ้า บ่างพึ่งนาย)
4. La raison du plus fort est toujours la meilleure.
เหตุผลของผู้ที่มีอำนาจย่อมดีที่สุดเสมอ
5. Tout ce qui brille n'est pas or.
ของที่ส่องแสง มิใช่ทองเสมอไป (ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง)
6. Qui ne risque rien, n'a rien. ใครที่ไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย ย่อมไม่มีอะไรเลย.
7. Le temps c'est de l'argent. เวลาเป็นเงินเป็นทอง.
8. Il faut battre le fer pendant qu'il est chaud. ควรตีเหล็กเมื่อมันยังร้อน
9. Le chat parti, les souris dansent. แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง.
10. Chien qui aboie ne mord pas. สุนัขที่เห่า ย่อมไม่กัด.

ดอกไม้ในประเทศฝรั่งเศส

Les Fleurs ดอกไม้ในประเทศฝรั่งเศส

ดอกไม้ในประเทศตะวันตกมีบทบาทมาก เช่น เวลา วันเกิด หรือเวลาที่ได้รับเชิญไปรับประทานอาหารที่บ้านเพื่อน เรามักจะนำช่อดอกไม้ไปด้วย ดังนั้นดอกไม้ที่ควรกล่าวถึงในชีวิตประจำวันของชาวฝรั่งเศสคือ
1. La rose
คนส่วนมากนิยมเรียกดอกกุหลาบว่า "ราชินีแห่งดอกไม้" ดังนั้นกวีมักจะเปรียบเทียบความสวยของหญิงสาวดั่งดอกกุหลาบ ชาวฝรั่งเศสนิยมให้ดอกกุหลาบแก่บุคคลที่เรารัก เช่น ในโอกาสวันเกิด

2. Le muguet
ดอก muguet เป็นดอกไม้ที่ถือกันว่านำความสุขมาให้ ในวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี ชาวฝรั่งเศสนิยมซื้อดอก muguet ให้เพื่อนและดอก muguet นี้ เป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดฤดูหนาวด้วย

3. La marguerite
ดอก marguerite เป็นดอกไม้ป่า สวยแต่ไม่มีกลิ่น ส่วนมากคนหนุ่มสาวที่ตกอยู่ในความรักม้ก จะนำดอก maguerite มาเสี่ยงทายโดยเด็ดกลีบทิ้งทีละดอก และพูดว่า "ฉันรักเธอ,รักเธอนิดหนึ่ง,รักเธอมาก,รักเธออย่างเหลือเกิน,ไม่รักเธอเลย" ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่จะรู้ว่าเขารักเราหรือเปล่า.

4. Le mimosa
เป็นดอกไม้เล็กๆ ที่มีละอองของเกสรเป็นสีเหลือง ละอองนี้จะติดอยู่ตามนิ้วมือ เป็นดอกไม้ที่ชอบแสงแดด ดังนั้นจึงขึนแถวภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มักให้กันในฤดูหนาว

5. L'oeillet
เมื่อก่อนเป็นดอกไม้ที่ใช้สำหรับปักเสื้อนอกของผู้ชาย มีหลายสี แต่สมัยนี้เป็นดอกไม้ที่นิยมให้กัน เช่นเดียวกับดอกกุหลาบ

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550

วันออกพรรษา

พิธีตักบาตรเทโว วัดสะแกกรัง จ.อุทัยธานี ที่ขบวนพระภิกษุพากันเดินขบวนลงมาจากบนเขา

โดยมีพุทธศาสนิกชนมาใส่บาตรเชิงตามบันได


วันออกพรรษา

คือวันสิ้นสุดระยะการจำพรรษา หรือออกจากการอยู่ประจำที่ในฤดูฝนซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ วันออกพรรษานี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันมหาปวารณา" คำว่า"ปวารณา"แปลว่า "อนุญาต" หรือ "ยอมให้" คือ เป็นวันที่เปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกัน ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ในข้อที่ผิดพลั้งล่วงเกินระหว่างที่จำพรรษาอยู่ด้วยกัน ในวันออกพรรษานี้กิจที่ชาวบ้านมักจะกระทำก็คือ การบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร จัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา ของที่ชาวพุทธนิยมนำไปใส่บาตรในวันนี้ก็คือ ข้าวต้ม มัดไต้ และข้าวต้มลูกโยน และการร่วมกุศลกรรมการ "ตักบาตรเทโว" คำว่า "เทโว" ย่อมาจาก"เทโวโรหน" แปลว่าการเสด็จจากเทวโลกการตักบาตรเทโว จึงเป็นการระลึกถึงวันที่ พระพุทธองค์เสด็จกลับจากการโปรด พระพุทธมารดาในเทวโลก ประเพณีการทำบุญกุศล เนื่องในวันออกพรรษานี้ ทุกวัดในประเทศไทย ก็มีพิธีเหมือนกันหมด จะผิดกันก็เพียงแต่สถานที่ ที่สมมติว่าเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เท่านั้น กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันออกพรรษา

๑. ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ

๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา

๓. ร่วมกุศลธรรม "ตักบาตรเทโว"

๔. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและ ประดับธงชาติและธงธรรมจักรตามวัดและสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา

๕. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับวันออกพรรษาฯลฯ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป


























วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เทศกาลกินเจ

ขบวนแห่ร่างทรงเทพเจ้า พบได้บ่อยๆในเทศกาลกินเจ

ประเพณีการกินเจกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน


ตำนานการกินเจ

ตำนานที่1
1500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัวโอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ
จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วยแต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย
คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตามจนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย
เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)

ตำนานที่ 2

ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น
ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป
เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น






วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ทายใจ อาหารเจกัน
ต้มจับฉ่าย : ผู้ที่ชื่นชอบต้มจับฉ่าย แสดงว่ามีความสามารถหลายด้าน สติปัญญาดี ขยันรอบรู้และหาประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ คิดแล้วทำด้วยตัวเอง เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายความสำเร็จของชีวิตที่มั่นคง ภายนอกมองดูสุขุมเยือกเย็น เอื่อยเฉื่อย แต่งกายแลดูสบายๆ แต่ภายในใจลึกๆ แล้วโหยหาความรักความอบอุ่น รักการดูแลสุขภาพ เปิดเผย เชื่อมั่น เป็นตัวของตัวเอง มีมานะพยายาม ขยันหมั่นเพียร มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ชอบการประนีประนอม มีมนุษยสัมพันธ์ดี รู้จักเลือกใช้งานคนอื่นได้ดี และก็ได้รับความนิยมยกย่องจากสังคม เป็นที่ปรึกษาที่ดีของผู้อื่นอีกด้วย

มะเขือยาวผัดเต้าเจี้ยว : ผู้ที่ชื่นชอบมะเขือยาวผัดเต้าเจี้ยว แสดงว่า มีความสุขุม ชอบเก็บตัว อาจจะทำอะไรแปลกๆ ทุ่มเทให้การงาน เสียสละ มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นที่อ่อนด้อยกว่าตน มีความกล้าอย่างมีเหตุผล รับผิดชอบ มีสติปัญญาประสาทสัมผัสดีไวต่อความรู้สึก มักจะชอบทำอะไรให้สำเร็จไปโดยไม่ชอบให้คั่งค้าง จริงจังตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซาก อาจจะซ่อนอารมณ์ความรู้สึกภายใน อาจจะชอบเก็บตัวและดูเป็นคนเก็บกดไปก็ได้ ชอบฟังเพลงหรือเฮฮาแบบแปลกๆ ก็ได้ อาจพอใจกับการอยู่เงียบๆ คนเดียว คิดมาก ชอบวิตกกังวล อารมณ์อ่อนไหวง่ายแต่อาจจะซ่อนอยู่ภายใน

ผัดหมี่ซั่ว : ผู้ที่ชื่นชอบผัดหมี่ซั่ว แสดงว่า มีแรงบันดาลใจ รักศรัทธา เชื่อมั่น มีศิลปะเสียงเพลงอยู่ในหัวใจ มีอุดมการณ์อย่างสร้างสรรค์ บากบั่น อดทน ตรงไปตรงมา รักความถูกต้อง ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร สามารถแก้ไขปัญหาด้วยความนุ่มนวล อาจชอบทำบางอย่างแปลกแหวกแนวไม่ซ้ำใคร จนทำให้คนรอบข้างทึ่งไปตามๆ กัน อาจเข้าไปวุ่นวายในชีวิตคนอื่นในลักษณะของคนเจ้าระเบียบ มีกฎเกณฑ์ จุกจิกจู้จี้ไปบ้างก็เพราะหวังดี อาจมีอารมณ์อ่อนไหว วิตกกังวล ใจร้อน โกรธง่ายและหายเร็ว หรือเก็บความรู้สึกอยู่คนเดียว ในเรื่องความรัก ก็อย่าหวั่นไหวกับสังคมภายนอกให้มากนัก

ห่านพะโล้เจ : ผู้ที่ชื่นชอบพะโล้เจ แสดงว่า คุณมีจิตนาการ มีเสน่ห์ อ่อนหวานนุ่มนวล รักความสวยงาม โรแมนติก รสนิยมดี มีดนตรีอยู่ในหัวใจ น่ารัก น่าสนใจ มีคำพูดที่จูงใจคนเก่ง บางครั้งอาจดื้อรั้นไปบ้าง แต่สามารถเอาตัวรอดพ้นจากปัญหาที่วุ่นวายได้ดี มีกำลังใจมุ่งมั่นให้ตนประสบชัยชนะอย่างสมปรารถนา และมีความภูมิใจในคุณค่าของตน ชอบการแสวงหาความรู้สิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องลึกซึ้งทางปรัชญาหรือลี้ลับ ส่วนเรื่องความรักคุณกลัวการโดดเดี่ยวและกลัวการขาดความรักความอบอุ่นมาก จะอ่อนไหวมากและพร้อมที่จะระเบิดเมื่อเจอคนถูกใจ

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550

Chien
Le chien (Canis lupus familiaris) est un mamifère domestique de la famille des canidés, proche du loup. Le chien n'est plus, pour le moment, considéré comme une espèce à part entière mais comme une sous-espèce de Canis lupus. Chien et loup sont ainsi de même espèce. Les anciennes appellations scientifiques du chien, Canis canis ou encore Canis familiaris, ne sont donc plus d'actualité.
C'est aussi une appellation pour plusieurs autres espèces de canidés de type Atelocynus
et Speothos, voire de rongeurs du genre Cynomys (chien de prairie
).
La femelle du chien s'appelle la chienne et un jeune chien est appelé un chiot. Le chien glapit, jappe ou aboie.
Il existe de nombreuses races
de chiens. Environ les trois quarts de celles reconnues sont très anciennes et issues de la sélection naturelle sur la morphologie, combinée à une sélection artificielle sur le comportement (exemples : Husky sibérien, Berger deBrie). Le dernier quart est issu d'une sélection artificielle récente (exemples : Berger allemand, Golden Retriever
) ; ces dernières sont souvent les plus populaires car modelées à la convenance de l'homme.

สุนัข หรือ หมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดหลายสกุลในวงศ์ Canidae ออกลูกเป็นตัว ลำตัวมีขนปกคลุม มีเขี้ยว 2 คู่ ตีนหน้า มี 5 นิ้ว ตีนหลังมี 4 นิ้ว ซ่อนเล็บไม่ได้ อวัยวะเพศของตัวผู้มีกระดูกอยู่ภายใน 1 ชิ้น ที่ยังคงเป็นสัตว์ป่า เช่น หมาใน (Cuon alpinus) ที่เลี้ยงเป็นสัตว์บ้าน คือ ชนิด Canis familiaris สุนัขเป็นสัตว์ที่มีหลายพันธุ์ เช่น ลาบราดอร์, โกลเด้น, ชิวาวา และอีกมากมาย มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ดุและไม่ดุ พันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น โกลเด้น ลาบราดอร์ ที่มีขนาดเล็ก เช่น ชิวาวา ชิสุ ส่วนที่ดุ ได้แก่ ร็อดไวเลอร์ อัลเซเชียน สุนัขแต่ละพันธุ์จะมีนิสัยแตกต่างกัน

มอลทีส (MALTESE)
สุนัข MALTESE มีถิ่นกำเนิดในประเทศ MALTA (แถบทะเลเมอร์ดิเตอริเนียน) มานานเกือบ 2800 ปีแล้ว นักเขียนหรือนักวาดภาพในสมัยโบราณมักนิยมเขียนเรื่องราวหรือภาพของสุนัขพันธุ์นี้อยู่เนืองๆ และเป็นที่นิยมเลี้ยงของผู้คนสมัยนั้น และจนกษัตริย์อียิปต์โบราณและ QUEEN VICTORIA ด้วย MALTESE เป็นสุนัขที่มีขนมีขาวสะอาดมีสุขภาพดี คล้ายสุนัขใหญ่กลุ่ม SPANIEL ในปี ค.ศ. 1607 มีการซื้อขายพันธุ์ MALTESE ตัวหนึ่งสูงถึง 2000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 50000 บาท

แจแปนนิส ชิน (Japanese Chin)
สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน เมื่อหลายร้อยปีก่อน ในสมัยนั้นสุนัขพันธุ์นี้มักจะอาศัยอยู่ในวัดจีน ต่อมาจักรพรรดิ์ของจีนได้มอบสุนัขพันธุ์นี้เป็นของขวัญแก่จักรพรรดิ์ญี่ปุ่น สุนัขพันธุ์นี้ได้เพิ่มจำนานขึ้นมากมายในประเทศญี่ปุ่น จากนั้นจักรพรรดิ์ญี่ปุ่น ก็ได้มอบสุนัขพันธุ์นี้ให้เป็นของขวัญแก่ Queen Victoria ของประเทศอังกฤษและผู้นำของประเทศต่างๆ อีกหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย สุนัขพันธุ์ Japanese Chin สามารถอาศัยอยู่ได้ในสภาวะอากาศแบบต่างๆได้ดี

ชิวาวา (Chihuahau)
สุนัขพันธุ์นี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 มีถิ่นกำเนิดในดินแดนที่เป็นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบันในการค้นพบทวีปอเมริกาของ CHRISTOPHER COLUMBUS ก็มีบันทึกการค้นพบสุนัขพันธุ์ชิวาวานี้ด้วย จากตำนานกล่าวว่าชาวพื้นเมืองนิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิวาวามาก และเกิดความเชื่อถือในเรื่องโชคลางต่างๆ ตลอดจนมีการนำสุนัขพันธุ์นี้ไปใช้ในพิธีบูชายันต์ มีผู้พบภาพสลักของสุนัขพันธุ์ตามก้อนหินต่างๆ และในถ้ำสุนัขพันธุ์ชิวาวามี 2 ชนิด คือ ชนิดขนสั้นและชนิดขนยาว

Chat

Le chat domestique est un mamifère carnivore de la famille des fèlidés.Le mot chat vient du bas-latin cattus (chat sauvage). D'après le Littré dans son édition de 1878, cattus proviendrait du verbe cattare, qui signifie guetter, ce félin étant alors considéré comme un chasseur qui guette sa proie. Le chat domestique Felis silvestris catusest très proche du chat sauvage européen Felis silvestris silvestriset du chat sauvage africain (chat ganté) Felis silvestris libyca. Selon la plupart des zoologues contemporains, ces trois types de chats forment une unique espèce : Felis silvestris. Cependant les expériences d'hybridation donnent des produits féconds entre le chat domestique et Felis silvestris lybica, alors que ce n'est pas le cas avec Felis silvestris silvestris. L'appellation Felis catus n’est plus valide.
แมว เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Felis Domesticus อยู่ในตระกูล Falidae ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับสิงโตและเสือดาว ต้นตระกูลแมวมาจากเสือไซบีเรียน ซึ่งมีช่วงลำตัวตั้งแต่จมูกถึงปลายหางยาวประมาณ 4 เมตร แมวที่เลี้ยงตามบ้าน จะมีรูปร่างขนาดเล็ก ขนาดลำตัวยาว ช่วงขาสั้นและจัดอยู่ในกลุ่มของประเภทสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร มีเขี้ยวและเล็บแหลมคมสามารถหดซ่อนเล็บได้เช่นเดียวกับเสือ สืบสายเลือดมาจากแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งลักษณะบางอย่างของแมวยังคงพบเห็นได้ในแมวบ้านปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแมวพันธุ์แท้หรือแมวพันธุ์ทาง
แมวเข้ามาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของแมวคือการทำมัมมี่แมวที่ค้นพบในสมัยอียิปต์โบราณ หรือในพิพิธภัณฑ์อังกฤษในกรุงลอนดอน มีการแสดงสมบัติที่นำออกมาจากปิรามิดโบราณแห่งอียิปต์ ซึ่งรวมถึงมัมมี่แมวหลายตัว ซึ่งเมื่อนำเอาผ้าพันมัมมี่ออกก็พบว่า แมวในสมัยโบราณทุกตัวมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นแมวที่มีรูปร่างเล็ก ขนสั้นมีแต้มสีน้ำตาล มีความคล้ายคลึงกับพันธุ์ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าแมว Abyssinian
Coix lacryma-jobi
Coix lacryma-jobi, la Larme-de-Job, est une espèce de Poaceae(Graminées) des lieux humides originaire de Birmanie.
Distribution
Cette espèce est originaire des régions tempérées-chaudes d'Asie : Chine, sous-continent indien, Indochine, Malaisie, Philippines, Myanmar.
Elle est largement cultivée dans toutes les régions tropicales et subtropicales

Utilisation
L'extrait de graines est utilisé en médecine traditionnelle chionise sous le nom de Yi Yi Ren selon les allégations traditionnelles suivantes : « Fait écouler l'eau, tonifie la rate, élimine les obstructions ». Fait également partie de la pharmacopée Lao.

ธัญพืชธัญพืช (Cereal) คือเป็นพืชจำพวกหญ้าที่เพาะปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ด มีการเพาะปลูกกันทั่วโลกมากกว่าผลผลิตทางเกษตรชนิดใดๆ และเป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงานแก่มนุษย์มากที่สุด ในประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ ธัญพืชจะเป็นอาหารหลักของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่ในประเทศพัฒนาแล้วการบริโภคธัญพืชจะน้อยลง

ลูกเดือย เป็นธัญพืชประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีเส้นใยอาหารสูง เป็นพืชตระกูลเดียวกับข้าว โดยมีลักษณะเป็นเม็ดสีขาว เม็ดจะออกกลม ๆ รี ๆ รสชาติออกมันเล็กน้อย


Attentats du 11 septembre 2001
L’expression attentats du 11 septembre 2001 (abréviations : 11/9, 11 septembre ou 11-Septembre et, en anglais, 9/11) désigne une série d’évènements qui ont eu lieu dans le nord-est des États-Unis le mardi 11 septembre 2001 : trois avions commerciaux se sont écrasés contre des immeubles hautement symboliques : les tours jumelles du World Trade Center à Manhattan, New York, et le Pentagone, siège du ministère de la Défense des États-Unis, à Washington. Un quatrième avion s'est écrasé en rase campagne à Shanksville, Pennsylvanie La thèse de l'attentat suicide islamiste a très vite été présentée par les autorités américaines et reprise par les grands médias, puis soutenue par le rapport de la commission chargée d’enquête (Commission Kean), publié fin août 2004. Selon cette thèse, les dix-neuf pirates de l’air qui ont effectué ces attentats-suicides étaient membres d’Al-Quaïda. Les attentats du 11 septembre restent à ce jour le plus important attentat terroriste de l’histoire contemporaine et l’une des journées les plus sanglantes qu’ait connu l’Amérique sur son territoire après la bataille d'Antietam(1862). Ils ont été vécus presque en temps réel par des centaines de millions de téléspectateurs à travers le monde. La surprise et le choc psychologique ont été considérables au sein des opinions publiques, notamment en Amérique et en Occident. Ils ont généré des effets puissants et persistants, notamment politiques et économiques. Le gouvernement des États-Unis a adopté une législation sécuritaire et s'est lancé dans une « querre contre le terrorisme» à l'échelle internationale en dénonçant un « Axe du Mal» international.
Les victimes directes de ces événements ont été chiffrées à 2 973 morts et 24 disparus. Plusieurs milliers de personnes blessées et des milliers d’autres, notamment parmi les sauveteurs, sont atteintes de maladies induites par l’inhalation de poussières toxiques.

วินาศกรรมเวิลด็เทรดเซ็นเตอร์


วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 เหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 หรือ 9/11 เป็นเหตุการณ์วินาศกรรมของการปล้นเครื่องบินในสหรัฐอเมริกาโดยเครื่องบินพาณิชย์ ได้ชนเข้ากับตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และ เพนตากอน

ลำดับแห่งเหตุการณ์วินาศกรรม

วินาศกรรมในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้น ณ ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แต่เพียงแห่งเดียว อาคารทรง 5 เหลี่ยมของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ตั้งชื่อตามรูปร่างอาคารว่าเพนตากอน ได้ถูกโจมตีด้วย โดยมีการใช้มีเครื่องบินถึง 3 ลำในการก่อการ ซึ่งผู้ก่อการในครั้งนี้ได้เข้ายึดครองเพื่อบังคับให้พุ่งเข้าชนอาคารสำคัญ และยังมีเครื่องบินอีกหนึ่งลำที่ถูกจี้ด้วยเหมือนกันแต่ไม่สามารถชนตึกได้ ทั้งนี้คาดว่าการขัดขืนจากลูกเรือและผู้โดยสารทำให้เครื่องบินลำดังกล่าวตกลงในเขตชนบทที่ซอมเมอร์เซ็ต
เครื่องบินที่ถูกจี้ทั้ง 4 ลำเป็นเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง โดยเป็นรุ่น โบอิง 767
-200ER จำนวน 2 ลำ(จากสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 และจากสายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175) อีก 2 ลำเป็นโบอิง 757
-200(จากสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 และจากสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93) ทั้ง 4 ลำเป็นเที่ยวบินที่บินข้ามจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก ดังนั้นจึงบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงไปเต็มที่ และเชื่อว่าการพังทลายของตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ น่าจะเกิดมาจากปริมาณน้ำมันจำนวนมากที่บรรทุกอยู่บนเครื่องบินเหล่านั้น
ลำดับเหตุการณ์ตามเวลาประเทศไทยในเหตุการณ์พอจะสรุปได้ดังนี้


วันที่ 11 กันยายน 2544
19:45 น. เครื่องบินโดยสารของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์
เที่ยวบินที่ 11 จากบอสตันเข้าชนตึกเหนือ(ตึก 1 เป็นตึกที่มีเสาอากาศเห็นได้ชัด)ของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แล้วฉีกตัวตึกเป็นช่องพร้อมทั้งเกิดไฟไหม้
20:03 น. เครื่องบินโดยสารของสายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์
เที่ยวบินที่ 175 จากบอสตันเช่นกัน พุ่งเข้าชนตึกใต้(ตึก 2)ของตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และระเบิดรุนแรง
20:43 น. เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินที่ 77 ของสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ ชนอาคารเพนตากอน เกิดควันไฟพวยพุ่ง มีการอพยพคนในทันที
20:45 น. มีการอพยพคนที่ทำเนียบขาว
21:05 น. ตึกใต้ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถล่มยุบลง ท้องถนนปกคลุมด้วยกลุ่มควัน
21:10 น. บางส่วนของอาคารเพนตากอนถล่ม ขณะเดียวกันก็มีรายงานการตกของเครื่องบินโดยสารของ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ที่เขตชนบทของซอมเมอร์เซ็ต รัฐเพนซิลวาเนีย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพิตส์เบิร์ก
21:13 น. อาคารที่ทำการของสหประชาชาติเริ่มขนย้ายผู้คน โดยเป็นคนของสำนักงานใหญ่จำนวน 4,700 คน และจากยูนิเซฟกับฝ่ายอื่นของสหประชาชาติอีก 7,000 คน
21:28 น. ตึกเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ถล่มยุบตัวลงคล้ายกับถูกตอกด้วยเสาเข็มจากด้านบน เกิดฝุ่นอันหนาทึบ และเศษหักพังกระจายไปทั่ว
21:45 น. อาคารที่ทำการของรัฐทุกตึกในวอชิงตันอพยพคนทั้งหมด
21:48 น. ตำรวจยืนยันมีเครื่องบินตกที่ซอมเมอร์เซ็ต
21:53 น. ประกาศเลื่อนการเลือกตั้งขั้นต้นของนิวยอร์ก
22:18 น. สายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินที่ถูกจี้ โดยเที่ยวบินที่ 11 เป็นเครื่องโบอิ้ง 767-200ER มีลูกเรือ 11 คน และผู้โดยสาร 81 คน ซึ่งกำลังเดินทางไปยังลอส แองเจลิส ส่วนเที่ยวบินที่ 77 เป็นเครื่อง 757-200 กำลังเดินทางไปลอส แองเจลิส โดยมีผู้โดยสาร 58 คน ลูกเรือ 6 คน เครื่อง 767-200ER เป็นลำที่ชนตึกเหนือของเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และเครื่อง 757-200 ชนเพนตากอน
22:26 น. ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินที่ถูกจี้ โดยเที่ยวบินที่ 93 ออกจากนิวอาร์ก รัฐเดลาแวร์ ไปยังซานฟรานซิสโก และตกที่เพนซิลวาเนีย
22:59 น. ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ รายงานเรื่องเครื่องบินเที่ยวบินที่ 175 ที่กำลังเดินทางไปลอส แองเจลิส มีผู้โดยสาร 56 คน ลูกเรือ 9 คน เป็นลำที่ชนตึกใต้ของเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์
23:04 น. สนามบินลอส แองเจลิส ซึ่งเป็นที่หมายของเครื่องบิน 3 ลำ อพยพคนทั้งหมด
23:15 น. สนามบินซานฟรานซิสโกซึ่งเป็นที่หมายของเครื่องบินเที่ยวบินที่ 93 อพยพคนทั้งหมด

วันที่ 12 กันยายน 2544
03:10 น. ตึก 7 ซึ่งมี 47 ชั้นของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เกิดไฟไหม้
04:20 น. ตึก 7 ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งไม่มีคนอยู่แล้วถล่ม การถล่มเกิดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากตึก 1 และ 2 (ซึ่งอยู่คนละฝั่งถนน)ถล่มมาก่อนหน้านี้ ตึกรอบๆ บริเวณก็มีไฟไหม้ด้วย
04:30 น. เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลรายงานว่าเครื่องบินที่ตกในเพนซิลวาเนียอาจจะมีเป้าหมายในการชน แคมป์ เดวิด หรือ ทำเนียบขาว หรือ อาคารรัฐสภา อาคารใดอาคารหนึ่ง
06:45 น. ตำรวจนิวยอร์กรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่สูญหาย 78 นาย และเชื่อว่าพนักงานดับเพลิงประมาณ 200 นายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
08:22 น. ไฟไหม้ที่เพนตากอนยังควบคุมไม่ได้ แต่สามารถจำกัดเขตการลุกลามได้แล้ว
ในขณะที่เกิดเหตุหายนะอยู่นี้ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช
ได้เดินทางจากฟลอริดากลับสู่วอชิงตัน และได้มีการออกแถลงการณ์ในเหตุการณ์ มีการขอให้ประชาชนร่วมกันสวดมนต์ให้กับผู้เคราะห์ร้าย รวมทั้งยังประกาศว่า "ผู้ที่กระทำการครั้งนี้จะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ"
ต่อมามีรายงานว่าตึกอื่นๆ ในบริเวณนั้นก็ได้พังทลายลงทั้งหมด(เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ประกอบด้วยตึก 7 หลัง) อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า ตึก 5 ยังคงตั้งอยู่แต่ก็เสียหายยับเยินเช่นกัน สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บนั้นยังไม่ทราบแน่นอน แต่พบศพแล้วกว่า 200 ศพ และยังสูญหายอีกประมาณ 6,000 คน (ณ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2544)

สรุปผู้เสียชีวิต
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,973 คน: 246 คน บนเครื่องบิน, 2,602 คน ใน นครนิวยอร์ก ในอาคารและพื้นดิน, และ 125 คน ในเพนตากอน รวมถึงนักผจญเพลิงนครนิวยอร์ก 343 คน, ตำรวจนครนิวยอร์ก 23 คน, ตำรวจการท่าเรือของนิวยอร์กและนิวเจอร์ซี 37 คน และผู้สูญหายอีก 24 คน

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2550

The Dog

The dog (Canis lupus familiaris) is a domestic subspeciesof the wolf, a mammal of the Canidae family of the order Carnivora. The term encompasses both feral and pet varieties and is also sometimes used to describe wild canide of other subspecies or species. The domestic dog has been (and continues to be) one of the most widely-kept workingand companion animals in human history, as well as being a food source in some cultures. The dog is also the first animal from Earth to enter into space and fly into orbit.
The dog has developed into hundreds of varied breeds
. Height measured to the withers ranges from a few inches in the Chihuahua to a few feet in the lrish Wolfhound; color varies from white through grays (usually called blue) to black, and browns from light (tan) to dark ("red" or "chocolate") in a wide variation of patterns; and, coats
can be very short to several centimeters long, from coarse hair to something akin to wool, straight or curly, or smooth.








Le chien


Le chien (Canis lupus familiaris) est un mammifère domestique de la famille des canidés proche du loup. Le chien n'est plus, pour le moment, considéré comme une espèce à part entière mais comme une sous-espèce de Canis lupus. Chien et loup sont ainsi de même espèce. Les anciennes appellations scientifiques du chien, Canis canis ou encore Canis familiaris, ne sont donc plus d'actualité.
C'est aussi une appellation pour plusieurs autres espèces de canidés de type Atelocynus et Speothos, voire de rongeurs du genre Cynomys(chien de prairie).
La femelle du chien s'appelle la chienne et un jeune chien est appelé un chiot. Le chien glapit, jappe ou aboie.
Il existe de nombreuses races de chiens. Environ les trois quarts de celles reconnues sont très anciennes et issues de la sélection naturelle sur la morphologie, combinée à une sélection artificielle sur le comportement (exemples : Husky sibérien, Berger de Brie). Le dernier quart est issu d'une sélection artificielle récente (exemples : Berger allemand, Golden Retriever) ; ces dernières sont souvent les plus populaires car modelées à la convenance
de l'homme.


สุนัข หรือ หมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดหลายสกุลในวงศ์ Canidae ออกลูกเป็นตัว ลำตัวมีขนปกคลุม มีเขี้ยว 2 คู่ ตีนหน้า มี 5 นิ้ว ตีนหลังมี 4 นิ้ว ซ่อนเล็บไม่ได้ อวัยวะเพศของตัวผู้มีกระดูกอยู่ภายใน 1 ชิ้น ที่ยังคงเป็นสัตว์ป่า เช่น หมาใน (Cuon alpinus) ที่เลี้ยงเป็นสัตว์บ้าน คือ ชนิด Canis familiaris สุนัขเป็นสัตว์ที่มีหลายพันธุ์ เช่น ลาบราดอร์, โกลเด้น, ชิวาวา และอีกมากมาย มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ดุและไม่ดุ พันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น โกลเด้น ลาบราดอร์ ที่มีขนาดเล็ก เช่น ชิวาวา ชิสุ ส่วนที่ดุ ได้แก่ ร็อดไวเลอร์ อัลเซเชียน สุนัขแต่ละพันธุ์จะมีนิสัยแตกต่างกัน







วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2550

หนูน้อยหมวกแดง

Le Petit Chaperon Rouge est un conte de la tradition populaire, qui a connu de nombreuses versions au cours de l’histoire. Il s’agit à la base d’un récit pour enfant, mais qui contient des thèmes ayant trait à la sexualitè, à la violence et au cannibalisme. Le conte oppose, dans une convention toute médiévale, l’univers sûr du village aux dangers de la forêt, même si aucune version écrite ne remonte à cette époque. C'est d'ailleurs du Moyen-Âge que le Petit Chaperon tient sa couleur rouge: en effet, les trois couleurs dominantes à cette époque étaient le rouge, le blanc et le noir. Si le loup est noir, le beurre blanc, il fallait donc que l'héroïne soit rouge(réf.nécessaire)On retrouve trace de l’histoire dans la tradition orale de nombreux pays d’Europe, sous différentes versions, antérieures au XVIIe siècle. Les paysans français racontaient l’histoire dès le XIe siècle. L'une des versions orales du conte nous est connue, elle est l'une des plus sanglantes : le Loup, arrivé chez la Mère-grand, la dévore en en gardant toutefois un peu de côté, et prend sa place. La petite fille arrive et, ne se doutant de rien, obéit à la fausse grand-mère lui disant de manger un peu de viande et de boire un peu de vin, en fait la chair et le sang de l'aïeule (la petite fille s'interrogerait même quant aux dents présentes dans la chair, question à laquelle le Loup lui répondrait qu'il s'agit de haricots).
Dans la version italienne de La Finta Nonna (La Fausse Grand-mère), la petite fille l’emporte sur le Loup grâce à sa propre ruse, sans l’aide d’un homme ou d’une femme plus âgée. Le chasseur, personnage ajouté ultérieurement, limite l’héroïne à un rôle plus passif. Certains y verront la volonté de maintenir les femmes « à leur place », dépendante de l’aide d’un homme fort.
La version écrite la plus ancienne est celle de Charles Perrault, parue dans Les Contes de ma Mère l’Oye en 1697. Cette version sera plus malheureuse et moralisatrice que celles qui suivront. L’héroïne en est une jeune fille bien élevée, la plus jolie du village, qui court à sa perte en donnant au loup qu’elle rencontre dans la forêt les indications nécessaires pour trouver la maison de sa grand’mère. Ce dernier mange la vieille dame en se cachant des bûcherons qui travaillent dans la forêt voisine. Il tend ensuite un piège au Petit Chaperon Rouge et finit par la manger. L’histoire en finit là, sur la victoire du loup. Pas de fin heureuse pour l’héroïne, la morale de Perrault est sans appel.
Au XIXe siècle, deux versions distinctes furent rapportées à Jakob Grimm et son frère Wilhelm (les fameux frères Grimm
) : la première par Jeanette Hassenpflug (1791–1860) et la seconde par Marie Hassenpflug (1788–1856). Les deux frères firent de la première version l’histoire principale et de la seconde une suite. L’histoire de Rotkäppchen (La Capuche Rouge) parut dans la première édition de leur collection Kinder- und Hausmärchen (Contes des Enfants et du Foyer, 1812)). Dans cette version, la fillette et sa grand-mère sont sauvées par un chasseur pistant le Loup. La suite montre la fillette et sa grand-mère piégeant et tuant un autre loup, anticipant ses gestes grâce à l’expérience acquise au cours de la première histoire.
Les frères modifièrent l’histoire dans les éditions postérieures, jusqu’à atteindre la version la plus connue dans l’édition de 1857. Cette version édulcorée, largement répandue, raconte l’histoire d’une petite fille qui traverse la forêt pour apporter une galette, un pot de beurre et de la confiture à sa grand-mère. En chemin, la fillette fait la rencontre d’un loup, qui la piège à la fin et la dévore elle et sa grand’mère. Un chasseur vient néanmoins pour les sauver en ouvrant le ventre du Loup. Le Petit Chaperon rouge et sa grand-mère en sortent saines et sauves.
Le thème du personnage mangé par le Loup et sorti du ventre renvoie au conte de Pierre et le loup
หนูน้อยหมวกแดง
บทแปลเนื้อเรื่อง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหนูน้อยผู้น่ารักอยู่คนหนึ่ง เป็นที่รักใคร่ของทุกๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณยายของหนูน้อย. มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณยายได้ให้หมวกผ้ากำมะหยี่สีแดงแก่หนูน้อย หนูน้อยชอบหมวกนี้มาก และได้ใส่หมวกนี้ไปไหนมาไหนตลอดเวลา จนทุกคนเรียกหนูน้อยนี้ว่า หนูน้อยหมวกแดง
มีอยู่วันหนึ่ง คุณแม่ได้พูดกับหนูน้อยว่า "หนูน้อยหมวกแดงมาหาแม่ซิจ๊ะ ในนี้มีขนมเค้กอยู่หนึ่งชิ้น และ ไวน์อยู่หนึ่งขวด หนูเอาไปให้คุณยายนะจ๊ะ คุณยายของหนูป่วย อย่าลืมรักษามรรยาทนะจ๊ะ บอกคุณยายว่าแม่ฝากความคิดถึงมาด้วยล่ะ แล้วอย่าเถลไถล เดินระวังหกล้มของหกนะจ๊ะ เวลาเข้าไปหาคุณยายในบ้าน ให้กล่าวสวัสดี และ ห้ามไปแอบมองตามช่องก่อนเข้าไปล่ะ"
"ทราบแล้วค่ะ หนูจะทำตามที่คุณแม่บอก" หนูน้อยตอบ พร้อมเขย่ามือคุณแม่เป็นเชิงตอบรับ

คุณยายนั้น อาศัยอยู่ในป่าห่างจากหมู่บ้านครึ่งชั่วโมง เมื่อหนูน้อยเริ่มเดินเข้าไปในป่า ก็มีหมาป่าตัวหนึ่งเดินเข้ามาหา. หนูน้อยไม่รู้ว่าหมาป่านั้นเป็นสัตว์ที่ดุร้าย จึงไม่ได้ตกใจกลัวแต่อย่างใด
"สวัสดีจ๊ะ หนูน้อยหมวกแดง" หมาป่าทักทาย
"ขอบคุณค่ะ คุณหมาป่า"
"หนูจะไปไหนแต่เข้าล่ะจ๊ะเนี่ย, หนูน้อยหมวกแดง?"
"ไปบ้านคุณยายน่ะค่ะ"
"แล้ว นั่นหนูถืออะไรมาล่ะจ๊ะ, ที่ผ้าคลุมอยู่น่ะจ๊ะ?"
"คุณยายป่วยน่ะค่ะ หนูกำลังจะเอาขนมเค้ก ที่คุณแม่อบไว้เมื่อวาน กับไวน์ไปให้ คุณยายจะได้หายไวไว"
"หนูน้อยหมวกแดงจ๊ะ แล้วบ้านคุณยายของหนูอยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะ ?"
"บ้านของคุณยาย อยู่ใต้ต้นโอ๊ก
ใหญ่ ลึกเข้าไปในป่าประมาณ 15 นาทีน่ะค่ะ ที่มีแนวพุ่มไม้เฮเซิลล้อมอยู่น่ะค่ะ คุณหมาป่าต้องรู้จักแน่ ๆ" หนูน้อยหมวกแดงตอบ
หมาป่าจึงคิดในใจ "หนูน้อยนี้ ท่าทางน่าอร่อยจริง ๆ รสชาติต้องดีกว่ายายแก่หนังเหนียวแน่ ๆ เอาล่ะ ยังไงก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม จับกินทั้งคู่เลยละกัน"
หมาป่าเดินเป็นเพื่อนหนูน้อยไปได้สักพัก ก็พูดขึ้นว่า "หนูน้อยหมวกแดงจ๊ะ ลองมองดูดอกไม้รอบ ๆ สิ ช่างสวยงามจริง ๆ หนูน่าจะแวะดูดอกไม้นะ แล้วยังเสียงนกร้อง ที่ช่างไพเราะนั่นอีก หนูไม่ต้องรีบร้อน ค่อย ๆ เดินเหมือนเดินไปโรงเรียน จะได้ชมความงามของป่าด้วย"
เมื่อหนูน้อยหมวกแดงมองดูรอบ ๆ ก็ได้เห็นแสงอาทิตย์ระยิบระยับ ที่ส่องลอดใบไม้ที่กำลังไหว และพื้นดินนั้น ก็ปกคลุมไปด้วยดอกไม้. หนูน้อยจึงคิดว่า "ถ้าเก็บดอกไม้ไปให้คุณยาย คุณยายต้องดีใจแน่ ๆ และตอนนี้ก็ยังไม่สายมาก ยังไงก็คงกลับบ้านตรงเวลา" คิดดังนั้น หนูน้อยจึงวิ่งออกข้างทางเพื่อไปเก็บดอกไม้ ทุกครั้งที่เก็บมาได้ดอกหนึ่ง หนูน้อยก็จะเห็นอีกดอกหนึ่งที่สวยกว่า อยู่ไกลออกไปจากเส้นทาง เมื่อตามเก็บไปเรื่อย ๆ หนูน้อยก็ออกห่างจากเส้นทางเข้าไปในป่าทีละน้อย ทีละน้อย อย่างไม่รู้ตัว ส่วนเจ้าหมาป่านั้น ก็บึ่งตรงไปยังบ้านคุณยาย และเมื่อถึงที่ก็เคาะประตู
"นั่นใครน่ะ?" คุณยายถาม
"หนูน้อยหมวกแดงค่ะ หนูถือเค้กและไวน์มาให้คุณยายน่ะค่ะ คุณยายเปิดประตูหน่อยค่ะ"
"ปลดกลอนที่ประตูก็เข้ามาได้แล้วจ๊ะ" คุณยายตอบ "ยายลุกไปเปิดไม่ไหว"
หมาป่าปลดกลอน เปิดประตู และเดินเข้าไปในบ้าน ตรงไปยังเตียงของคุณยาย และกินคุณยาย แล้วก็เอาชุดนอนของคุณยายมาใส่ เอาหมวกใส่ปิดบังศีรษะ ปิดม่านหน้าต่าง แล้วก็ซุกตัวนอนบนเตียงของคุณยาย
หลังจากที่หนูน้อยหมวกแดง ได้เก็บดอกไม้จนเต็มไม้เต็มมือ ถือเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว จึงนึกถึงคุณยายขึ้นมาได้ จึงเดินทางต่อไปยังบ้านของคุณยาย เมื่อไปถึงหนูน้อยก็แปลกใจที่ประตูบ้านนั้นเปิดอยู่ หนูน้อยจึงเดินเข้าไป หนูน้อยรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ดูแปลก ๆ จึงคิดขึ้น "ทำไมเราถึงรู้สึกกลัวจังเลย ปกติแล้วเราก็ชอบบ้านคุณยายนี่นา"
แล้วหนูน้อยก็ตะโกนทักทาย "อรุณสวัสดิ์ค่ะ" แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ

หนูน้อยจึงเดินไปที่เตียงของคุณยาย และเปิดม่านหน้าต่าง คุณยายกำลังนอนอยู่บนเตียง โดยมีหมวกคลุมหน้าอยู่ และหน้าคุณยายก็ดูแปลก ๆ
"คุณยายค่ะ ทำไมหูของคุณยายถึงใหญ่จังเลย!"
"จะได้เอาไว้ฟังหนูพูดได้ชัด ๆ ไงจ๊ะ"
"คุณยายค่ะ ทำไมตาของคุณยายถึงใหญ่จังเลย!"
"จะได้เอาไว้มองดูหนูได้ชัด ๆ ไงจ๊ะ"
"คุณยายค่ะ ทำไมมือของคุณยายถึงใหญ่จังเลย!"
"จะได้เอาไว้จับหนูได้ ถนัด ๆ ไงจ๊ะ"
"คุณยายค่ะ ทำไมปากของคุณยายถึงดูน่ากลัวจังเลย!"
"จะได้เอาไว้กินหนูได้ถนัด ๆ ไงจ๊ะ"
ก่อนที่จะจบคำพูดนั้น หมาป่าก็กระโดดออกจากเตียง และกินหนูน้อยหมวกแดงผู้น่าสงสาร หลังจากอิ่มหมีพีมันแล้ว หมาป่าก็ได้คืบคลานกลับขึ้นไปบนเตียง ผลอยหลับไป และเริ่มกรนเสียงดัง
ขณะนั้นมี นักล่าสัตว์ผ่านทางมา และคิดในใจว่า "คุณยายนี่กรนเสียงดังจริง ๆ น่าจะแวะเข้าไปดูสักหน่อย ว่าเป็นอะไรไปรึเปล่า"
คิดได้ดังนั้น นักล่าสัตว์จึงเดินเข้าไปข้างใน ในขณะที่เดินเข้าไปใกล้เตียงนอน เขาได้พบหมาป่านอนหลับอยู่ "ในที่สุด ก็หาตัวเจอจนได้ เจ้าสัตว์ดุร้าย" นักล่าสัตว์พูด "เสียเวลาไล่ล่าซะตั้งนาน"
ในขณะที่เขาจ่อปืนไปยังหมาป่า ก็เกิดเอะใจขึ้นมา ว่าหมาป่าอาจกินคุณยายเข้าไป และเขาอาจช่วยคุณยายได้ ดังนั้นแทนที่จะใช้ปืนยิง เขาจึงใช้กรรไกรเริ่มตัดหนังท้องหมาป่าให้เปิดออก เริ่มตัดไปได้ไม่เท่าไร เขาก็เห็นหมวกสีแดงข้างใน เขาจึงตัดให้ท้องหมาป่าเปิดกว้างออก แล้วหนูน้อยหมวกแดงก็กระโดดออกมา และร้องคร่ำครวญ "โฮ หนูตกใจกลัวมากเลย! ข้างในท้องของหมาป่า มืดจนมองอะไรไม่เห็นเลย!"
และแล้วคุณยาย ก็ออกมาจากท้องหมาป่า ด้วยอาการหอบหายใจอย่างยากลำบาก แล้วหนูน้อยหมวกแดง ก็ไปหาก้อนหินใหญ่ใส่ในท้องหมาป่าแทน เมื่อหมาป่าตื่นขึ้นมา และพยายามจะวิ่งหนี จึงถูกน้ำหนักก้อนหินที่อยู่ในท้อง ถ่วงล้มลงตายคาที่
ทั้งสามคนจึงลงเอยอย่างมีความสุข โดยนักล่าสัตว์ได้ถลกเอาหนังหมาป่ากลับไป คุณยายได้รับประทานขนมเค้กและไวน์ ที่หนูน้อยหมวกแดงนำมาให้ และหนูน้อยหมวกแดงนั้นคิดในใจว่า "ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่เถลไถลเข้าไปในป่าคนเดียว ถ้าคุณแม่บอกห้ามไว้"

สถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย

สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ตั้งอยู่เลขที่ 35 ถนนเจริญกรุง 36 เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ริมแม่นำเจ้าพระยา ข้างโรงแรมโอเรียนเต็ล แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
ฝ่ายการทูตและฝ่ายกงสุล
ฝ่ายความร่วมมือและวัฒนธรรม และแผนกวีซ่า ตั้งอยู่เลขที่ ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
ฝ่ายเศรษฐกิจและการพาณิชย์ ตั้งอยู่ที่ชั้น 25 อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 1 ถนนพระราม4 เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร

ประวัติสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ที่สถานที่ปัจจุบันตั้งแต่ พ.ศ.2400 เมื่อนายมองตันยี กงศุลฝรั่งเศส ได้เช่าพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณนี้ ขนาดประมาณ 4 ไร่ ต่อมาในวันที่ 10มิถุนายน พ.ศ.2418 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานที่ดินผืนนี้ให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส และได้รับเอกสารกรรมสิทธิ์ ในปี พ.ศ.2468 อาคารสถานทูตก่อสร้างโดยช่างชาวอิตาเลียน เป็นอาคารยกพื้นสูงมาก มีระเบียงด้านหน้า สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมอิตาเลียน
การคมนาคมติดต่อกับสถานทูต เดิมใช้ทางแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะในเหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 พ.ศ.2436 กองทัพฝรั่งเศสใช้เรือรบเดินทางเข้ามาเทียบท่าถึงบริเวณสถานทูต ต่อมาเมื่อมีการตัดถนนเจริญกรุง จึงทำทางเข้าทางถนนอีกทางหนึ่ง
อาคารสถานทูตได้รับการซ่อมแซมระหว่างปี พ.ศ.2502 – 2511และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม เมื่อ พ.ศ.2527

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550

รายพระนามกษัตริย์ของฝรั่งเศสสมัยคาโรลิงเจียง



Charles the Bald

ขึ้นครองราชย์เมื่อ ค.ศ. 843 และสิ้นสุดลงเมื่อ ค.ศ.877

การแต่งงานของชาวฝรั่งเศส

การแต่งงานของฝรั่งเศส
ก่อนพิธีแต่งงาน เจ้าสาวฝรั่งเศสจะมีพิธีอาบน้ำเป็นพิเศษ เพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีงามต่าง ๆ รวมถึงอดีตความทรงจำเกี่ยวกับความรักครั้งก่อน ๆ ให้หมดไป เจ้าบ่าวจะไปรับเจ้าสาวที่บ้านของเธอ เด็ก ๆ จะออกมากั้นทางของทั้งสองด้วยริบบิ้นสีขาวซึ่งเจ้าสาวจะเป็นผู้ตัด พิธีแต่งงานของฝรั่งเศสจะเน้นความขาวบริสุทธิ์เป็นหลัก มีการให้พรจากนักบวชภายในโบสถ์ซึ่งอบอวลไปด้วยเครื่องหอมและดอกไม้ต่าง ๆ ขณะที่ย่างก้าวออกจากโบสถ์ คู่บ่าวสาวก็จะถูกโปรยด้วยเมล็ดข้าวสาลี ในงานเลี้ยงบรรดาแขกเหรื่อจะนำดอกไม้มามอบแก่ทั้งสอง เพื่อฉลองการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสเหมือนดั่งดอกไม้แรกแย้ม และด้วยเหตุผลเดียวกัน เจ้าสาวฝรั่งเศสมักจะประดับผมของเธอด้วยดอกไม้ หรือไม่ก็สวมหมวกมีดอกไม้ประดับประดาอยู่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะดื่มอวยพรให้แก่กันด้วยแก้วพิเศษที่มีที่จับอยู่สองข้าง ทั้งสองจะดื่มให้แก่กันจากแก้วใบเดียวกันนี้เพื่อแสดงถึงการเริ่มต้นการใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน แก้วหรือถ้วยใบนี้จะถูกเก็บไว้เพื่อสืบทอดต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน

ทวีปยุโรป

L’Europe est considérée comme un continent ou une partie de l’Eurasie (péninsule occidentale), voire de l’Eurafrasie, selon le point de vue. Elle est parfois qualifiée de « Vieux Continent » (ou d’« Ancien Monde »), par opposition au « NouveauMonde» (Amériques).
ทวีปยุโรป มีฐานะเป็นทวีปทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ในทางภูมิศาสตร์ ยุโรปเป็นอนุทวีปที่อยู่ทางด้านตะวันตกของมหาทวีปยูเรเชียยุโรปมีพรมแดนทางเหนือติดกับมหาสมุทรอาร์กติกทางตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกทางใต้ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำด้านตะวันออกติดกับเทือกเขาอูราลทะเลแคสเปียนทวีปยุโรปมีพื้นที่10,600,000 ตร.กม. เล็กที่สุดเป็นอันดับสองรองจากทวีปออสเตรเลียแต่มีจำนวนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกาปี พ.ศ. 2546 ยุโรปมีประชากรราว 799,466,000 คน หรือประมาณ 1 ใน 8 ของประชากรโลก

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2550

พระราชวังต้องห้าม


พระราชวังต้องห้าม (จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng จื่อจิ้นเฉิง; อังกฤษ: Forbidden City) จากชื่อภาษาจีน แปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีม่วง" พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง พระราชวังต้องห้ามยังรู้จักกันในนาม พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (ภาษาจีน: 故宫博物院; พินอิน: Gùgōng Bówùyùan) ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง [1] และมีพระที่นั่ง 75 องค์
พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด ในอดีตภายในเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ ในวังจะมีวิเสท 6,000 คน ประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที70,000 คน คอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง 148 ชุด และทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย
แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้
ยูเนสโกได้ประกาศให้พระราชวังต้องห้ามเป็นหนึ่งในมรดกโลกในนาม "พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง" เมื่อ พ.ศ.2530 (ค.ศ. 1987) โดยเป็นมรดกโลกที่เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้โบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2550

กำแพงเมืองจีน

La Grande Muraille (en chinois traditionnel: simplifié : pinyin : Chángchéng ; littéralement la « longue muraille ») est un ensemble de fortifications militaires chinoises construites, détruites et reconstruites en plusieurs fois et plusieurs endroits entre le Ve siècle av. J.-C. et le XVIe siècle pour marquer et défendre la frontière nord de la Chine.
Populairement, on désigne sous le nom de « Grande Muraille » la partie construite durant la dynastie Ming qui part du détroit de Shanhai sur les rives du fleuve Yalu à l’est pour arriver à Jiayuguan à l’ouest. La longueur de la muraille varie selon les sources. Selon un rapport de 1990, la longueur totale des murs serait de 6 700 km. En raison de sa longueur, la Grande Muraille est surnommée en chinois « La longue muraille de dix mille li » (萬里長城, wàn lǐ chángchéng), le li étant une unité de longueur et dix mille symbolisant l’infini en chinois. Ce surnom peut cependant être pris dans son sens littéral par approximation, 6 700 km faisant 13 400 li. En moyenne, la Grande Muraille fait 6 à 7 m de hauteur, et 4 à 5 mètres de largeur.
La Grande Muraille est la structure architecturale la plus grande construite par l’homme en termes de longueur, surface et masse. Depuis 1987, elle est classée au patrimoine mondial de l'UNESCO sous le numéro 438.

กำแพงเมืองจีน (ภาษาอังกฤษ: Great Wall of China) เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณ สร้างในสมัย พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นครั้งแรก กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ
กำแพงเมืองจีนยังคงเรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ (ภาษาอังกฤษ: Great Wall of 10,000 Li) กำแพงเมืองจีนมีความยาวทั้งหมดถึง 6,350 กิโลเมตร และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางด้วย